ER ROOM

บทความการทำงาน ER

ห้องฉุกเฉิน รพ.รร.จปร.
1.เป้าหมาย ให้บริการผู้ป่วยอุบัติเหตุ-ฉุกเฉินอย่างรวดเร็วถูกต้องปลอดภัยได้มาตราฐานวิชาชีพ
- ห้องฉุกเฉิน ของ รพ.รร.จปร.ให้บริการตลอด 24 ชม.
2.การบริการ
2.1 ให้บริการผู้ป่วยอุบัติเหตุ-ฉุกเฉินอย่างรวดเร็วตลอด 24 ชม.
2.2 บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป ทั้งใน-นอกเวลาราชการ (ตลอด 24 ชม.)
2.3 บริการทำหัตถการ เช่น ทำแผล ฉีดยา เย็บแผล ใส่เฝือก พ่นยา ผ่าฝี ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ ให้เลือด เป็นต้น
2.4 กรณีเกินขอบเขต บริการรับ-ส่ง ต่อผู้ป่วย
2.5 ให้บริการผู้ป่วยอุบัติเหตุ และเจ็บป่วยฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุในเขตพื้นที่ รร.จปร. เท่านั้น
2.6 บริการออกชันสูตรพลิกศพ ( ในเขตพื้นที่ รร.จปร.เท่านั้น )
2.7 ให้บริการอุบัติภัยหมู่
2.8 รถพยาบาลระบบอัจฉริยะในการขนย้ายผู้ป่วย
3.เวลาทำการ
วันจันทร์ – วันอาทิตย์ ตลอด 24 ชม.
4.สถานที่ตั้ง
รพ.รร.จปร. ชั้นล่าง
5.ติดต่อ
Tel. 02-2412691-4 ต่อ 62523
037-393010-4 ต่อ 62523
037-393063

นิยาม

คุณภาพการให้บริการ หมายถึง
1. การให้บริการของศูนย์รับแจ้งเหตุ และสั่งการของจังหวัดประกอบไปด้วยกระบวนการ
1.1 การคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉิน(Triage) ตามระดับความรุนแรง(รหัสแดง หรือ E = Emergency), (รหัสเหลือง หรือ U = Urgent),(รหัสเขียว หรือ N = Non urgent) ก่อนจัดส่ง/สั่งการให้หน่วยปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือ ที่เหมาะสมตามความเร่งด่วน
1.2 ผลการประเมินการคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉิน(Triage) ตามระดับความรุนแรง(รหัสแดง หรือ E = Emergency), (รหัสเหลือง หรือ U = Urgent),(รหัสเขียว หรือ N = Non urgent) จากโรงพยาบาลที่รับดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินต่อ
2.มีการประชุม Dead case Conference หรือ Interesting Case ระหว่างโรงพยาบาลเพื่อหาสาเหตุ แนวทางแก้ไข ใน ระดับจังหวัดหรือต่ำกว่าระดับจังหวัดตามความเหมาะสม เช่น Zone 1 ,Zone 2ตามการแบ่งกลุ่มของโรงพยาบาลในจังหวัด
Dead case หมายถึงทุก Case ที่ผ่านระบบการแพทย์ฉุกเฉินที่ เสียชีวิตในรถระหว่างนำส่ง และเสียชีวิตที่ห้องฉุกเฉิน(ไม่รวมที่เสียชีวิต ณ จุดเกิดเหตุ และเสียชีวิตก่อนหน่วยปฏิบัติการไปถึง)
Interesting Case หมายถึงทุก Case ที่ผ่านระบบการแพทย์ฉุกเฉินและเป็นที่น่าสนใจของคณะกรรมการจังหวัด
3. การให้บริการที่ห้องฉุกเฉินประจำโรงพยาบาลประกอบไปด้วยกระบวนการ
3.1 โรงพยาบาลมีการกำหนดระยะเวลาการได้รับการตรวจประเมิน และให้การรักษาโดยแพทย์ ตามระดับความเร่งด่วนโดยเน้น รหัส แดงหรือ E = Emergency
4. จำนวนโรงพยาบาล 90 เตียงขึ้นไป ที่มีการจัดเตรียมทีมแพทย์และพยาบาลที่ห้องฉุกเฉินเพื่อพร้อมรับผู้ป่วยวิกฤต (รหัสแดง)ตามเกณฑ์ที่โรงพยาบาลกำหนด5.ประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคลากรในระบบการแพทย์ฉุกเฉินในด้านการดูแลทางเดินหายใจ การให้สารน้ำ การห้ามเลือด และการดามกระดูก



ระบบห้องฉุกเฉินและโรงพยาบาล

ห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลบางส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในโรงพยาบาลของรัฐยังเป็นจุดอ่อนที่แพทย์และพยาบาลส่วนใหญ่ไม่อยากปฎิบัติงาน เพราะต้องได้ภาระหนัก ฉุกละหุก เครียด เสี่ยงต่อการเสียชื่อเสียง และการถูกฟ้องร้อง และยังได้ผลตอบแทนเท่ากับหรือน้อยกว่าบุคลากรในหน่วยงานอื่นที่งานสบายกว่ากันมาก จึงต้องมีการหมุนเวียนแพทย์ไปตรวจรักษาผู้ป่วยในห้องฉุกเฉิน และแพทย์ที่อ่อนอาวุโสและประสบการณ์ โดยเฉพาะแพทย์ที่จบใหม่มักจะถูกบังคับให้รับงานนี้ จึงเกิดความผิดพลาดง่ายและไม่มีการพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับ “ เวชศาสตร์ฉุกเฉิน ”และ “ ระบบรักษาพยาบาลฉุกเฉิน ” ทำให้ห้องฉุกเฉินเป็นที่น่าเกลียดน่ากลัวและน่าเบื่อสำหรับบุคลากรและผู้ป่วยด้วย


เนื่องจากห้องฉุกเฉินเป็นส่วนหนึ่งของโรงพยาบาล การจะปฏิรูประบบห้องฉุกเฉินได้ จึงต้องปฎิรูประบบโรงพยาบาลด้วย เช่น

1. การสร้างจิตสำนึก ให้บุคลากรทุกคนโดยเฉพาะผู้บริหารโรงพยาบาล ตระหนักว่า ห้องฉุกเฉินเป็น “ ห้องรับแขก ” ของโรงพยาบาลและบุคลากรทุกคนมีสิทธิและหน้าที่ที่จะต้องทำห้องฉุกเฉินให้เป็น “ ห้องรับแขก ” ที่ทุกคนปรารถนาจะเข้าโดย

- การปรับปรุงสถานที่ให้โปร่งใส สะอาด สดใส และใช้งานได้เต็มที่

- การจัดหาอุปกรณ์การตรวจรักษาต่าง ๆ ให้พอเพียง และอยู่ในสภาพที่พร้อมจะใช้งานได้ตลอดเวลา

- การจัดหาบุคลากร โดยเฉพาะแพทย์และพยาบาล ที่สนใจและชอบงานผู้ป่วยฉุกเฉิน เข้าประจำห้องฉุกเฉิน (ไม่บังคับและไม่หมุนเวียน) และให้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่า ตามลักษณะงานและผลงาน

- การจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอสำหรับการบำรุงรักษาสถานที่ อุปกรณ์ และบุคลากร เป็นต้น

2. วางหลักเกณฑ์และระเบียบปฏิบัติ ที่เหมาะสมสำหรับบริการของห้องฉุกเฉินในแต่ละโรงพยาบาล เช่น

- ห้องฉุกเฉินควรจะตรวจเฉพาะผู้ป่วยฉุกเฉินหรือเจ็บหนักเท่านั้น หรือควรจะตรวจผู้ป่วยที่ไม่ฉุกเฉินหรือไม่เจ็บหนักด้วย

3. การหมุนเวียนเตียงในหอผู้ป่วย เพื่อให้มีเตียงว่างสำหรับการรับผู้ป่วยฉุกเฉินได้ตลอดเวลา ซึ่งต้องการการเอาใจใส่ดูแลผู้ป่วยในหอผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดเพื่อจะจำหน่ายผู้ป่วยได้เร็วขึ้น

4. การแบ่งเขตความรับผิดชอบของโรงพยาบาล เพื่อลดภาวะผู้ป่วยที่ชอบตระเวนไปตามโรงพยาบาลต่าง ๆ และผู้ป่วยที่ชอบเดินทางไกลโดยไม่จำเป็น หรือไม่มีใบส่งตัวจากแพทย์ การส่งตัวกลับไปรักษาที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อให้ผู้ป่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและไม่เสียสุขภาพจากการเดินทาง แล้วยังลดจำนวนผู้ป่วยต่างเขตลงได้ เป็นต้น

5. การพัฒนาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน เพื่อให้การตรวจรักษาในห้องฉุกเฉินเป็นไปได้อย่างถูกต้อง รวดเร็วทันเหตุการณ์ มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยการจัดตั้ง “ ศูนย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน ” ขึ้นในโรงพยาบาล เพื่อพัฒนาให้ระบบรักษาพยาบาลฉุกเฉินในโรงพยาบาลประกอบด้วย

- จุดรับส่งผู้ป่วยฉุกเฉินที่เข้าออกได้สะดวกและอยู่ใกล้ห้องฉุกเฉิน มีบุคลากรพร้อมรถเข็นและเตียงเข็นคอยรับผู้ป่วยจากรถหรือเรือที่นำผู้ป่วยมาส่งได้ทันที และมีสถานที่สำหรับจอดรถหรือเรือที่นำผู้ป่วยมาส่งชั่วคราว


- ระบบจัดทำและ/หรือค้นหาเวชระเบียนได้อย่างเร่งด่วน โดยตัดตอนขั้นตอนที่ทำให้ล่าช้าทั้งหมด โดยเฉพาะขั้นตอนที่จะสอบถามรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับที่อยู่ ครอบครัว หรือสามารถในการจ่ายค่ารักษาพยาบาล

- ระบบคัดกรอง ที่มีประสิทธิภาพเพื่อจำแนกผู้ป่วยที่เร่งด่วน สำหรับการรักษาพยาบาลตามลำดับความฉุกเฉินและความรุนแรงของอาการ

- ระบบตรวจรักษา โดยแพทย์และพยาบาลที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ ในการตรวจรักษาผู้ป่วยฉุกเฉิน ความพร้อมของอุปกรณ์และเวชภัณฑ์สำหรับการตรวจรักษา และการตรวจทางห้องปฏิบัติที่สะดวกรวดเร็วและตรงเป้าหมาย มีห้องสังเกตอาการที่ผู้ป่วยนอนพัก

- ระบบตรวจรักษาต่อเนื่อง ที่สามารถรองรับการตรวจรักษาเพิ่มเติมให้แก่ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับการตรวจรักษาต่อเนื่อง รวมทั้งเสียงในหอผู้ป่วยที่จะสามารถรองรับผู้ป่วยฉุกเฉินด้วย

- ระบบส่งต่อที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการตรวจรักษาที่ดีและเหมาะสมที่สุดจากโรงพยาบาลอื่น ในกรณีที่โรงพยาบาลแรกไม่สามารถให้บริการนั้นได้

- ระบบประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ เช่น ตำรวจ สังคมสงเคราะห์ สถานที่พักฟื้นคนป่วย คนพิการ และอื่น ๆ เป็นต้น

- ระบบบริหารจัดการที่เป็นเอกภาพ และมีระบบงานที่เอื้ออำนวยต่อการวิจัยการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาต่าง ๆ รวมทั้งการพัฒนา “ เวชศาสตร์ฉุกเฉิน ”และ “ ระบบรักษาพยาบาลฉุกเฉิน ” ด้วย

- ระบบช่วยเหลืองานฉุกเฉินนอกโรงพยาบาล เช่น ฝึกอบรมบุคลากรใหม่และการฝึกอบรมต่อเนื่อง สนับสนุนเครื่องมือแพทย์เทคโนโลยี และวิชาการใหม่ ๆ เป็นศูนย์กลางในการประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่ เป็นพี่เลี้ยงให้กับหน่วยฉุกเฉินรักษาพยาบาลฉุกเฉินต่าง ๆ


6. การพัฒนาเวชศาสตร์ทั่วไป เพื่อให้แพทย์และพยาบาล เน้นการป้องกันโรค การสร้างเสริมสุขภาพ วิธีการดูแลรักษาโรคและป้องกันโรคกำเริบโดยผู้ป่วย การดูแลรักษา “ คน ” มากกว่า “ ไข้ ” “ สาธารณสุขพอเพียง ” มากกว่า “ สาธารณสุขสุดโต่ง ” เป็นต้น

ระบบประกันสุขภาพยามฉุกเฉินจากการสำรวจของ “ สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ ” โดยการสนับสนุนของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขพบว่า ผู้ป่วยฉุกเฉินในกรุงเทพฯร้อยละ 60 และในต่างจังหวัดร้อยละ 40 ต้องรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลเองทั้งหมด และผู้ป่วยที่คิดว่าจะเดือดร้อนค่ารักษาพยาบาลมีถึงร้อยละ 76


นอกจากนั้นผู้ป่วยฉุกเฉินกว่าร้อยละ 97 ต้องรับผิดชอบในการเดินทางไปยังห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลต่าง ๆ โดยไม่ได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยงานของรัฐ จึงต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเดินทางเองด้วย


ผู้ป่วยฉุกเฉินจำนวนมากจึงไม่สามารถไปโรงพยาบาล และหลายรายถูกปฎิเสธการรักษาพยาบาลจากโรงพยาบาล หรือถูกผลักไสไปยังโรงพยาบาลอื่น แม้กฎระเบียบห้ามไม่ให้โรงพยาบาลปฎิเสธการรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินก็ตาม

จึงจำเป็นต้องมี “ ระบบประกันสุขภาพยามฉุกเฉิน” อย่างเร่งด่วน ถ้า “ ระบบประกันสุขภาพ ”โดยรวมยังต้องใช้เวลาพินิจพิจารณาอีกนาน เพราะการเจ็บป่วยฉุกเฉินเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่ง และเป็นสาเหตุแห่งการทุกข์ทรมานอย่างฉับพลันทั้งต่อผู้ป่วย ครอบครัว และสังคม


ในประเทศไทย มีผู้ใช้บริการห้องฉุกเฉินประมาณ 6 ล้านครั้ง / ปี ค่ารักษา 2,785 บาท / ครั้งโดยเฉลี่ย หรือประมาณ 16,710 ล้านบาท / ปี ซึ่งน่าจะมีการพิจารณาจัดสรรงบประมาณก้อนนี้สำหรับภาวะเจ็บป่วยฉุกเฉินได้ เมื่อเปรียบเทียบกับค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดที่ตกประมาณ 2 แสนล้าน /ปี


นอกจากนั้น เงินอีกประมาณ 1,000ล้านบาท / ปี หรือประมาณ 18 บาท / คน / ปี จะสร้างหลักประกันให้ประชาชนไทยทุกคนได้รับบริการนำส่งโรงพยาบาลในภาวะเจ็บป่วยฉุกเฉิน โดยประชาชนที่เจ็บป่วยวิกฤติจะได้รับการดูแลรักษาภาวะเจ็บป่วยฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุจากรถพยาบาลพร้อมบุคลากรที่ได้รับการฝึกอบรมเพื่อรักษาพยาบาลฉุกเฉินโดยเฉพาะด้วย


ประชาชนจึงต้องร่วมกันผลักดันให้นักการเมืองและข้าราชการเร่งจัดสรรงบประมาณจำนวนนี้ เพื่อลดความตาย ความพิการ และความทุกข์ทรมานของผู้ป่วยฉุกเฉินประมาณ 6 ล้านราย / ปีลงให้ได้


สรุป

ระบบการรักษาพยาบาลฉุกเฉินในปัจจุบันยังมีจุดอ่อนอยู่มาก การปฎิรูประบบรักษาพยาบาลฉุกเฉินจะต้องเริ่มที่การสร้างระบบปฐมพยาบาล โดยผู้พบเห็นการเจ็บป่วยฉุกเฉินให้ถูกต้องและไม่มีภาวะแทรกซ้อน การรวบรวมระบบแจ้งเหตุฉุกเฉินให้เป็นเอกภาพ จนผู้พบเห็นเหตุฉุกเฉินสามารถแจ้งเหตุได้สะดวก และศูนย์รับแจ้งเหตุสามารถประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการได้ทันที มี “ หน่วยฉุกเฉินชุมชน ” มีหน่วยรักษาพยาบาล ณ จุดเกิดเหตุ ทั้งแบบเคลื่อนที่เร็วและแบบเพิ่มเติม มีหน่วยเคลื่อนย้ายและส่งต่อผู้ป่วยที่รวดเร็ว ปลอดภัย และไม่มีผิดเป้าหมาย มี “ ศูนย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน ” ในโรงพยาบาลที่สามารถตรวจรักษาผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพปละประสิทธิผล และมีระบบประกันสุขภาพผู้ป่วยฉุกเฉินทุกคนอย่างถ้วนหน้าและเป็นธรรม







































ไม่มีบทความ
ไม่มีบทความ